แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนใช้ในการตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้นหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ การหาจุดเหล่านี้มีหลายวิธี ซึ่งบทความนี้จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเส้นแนวนอน (Horizontal Line), เส้นแนวโน้ม (Trend Line), และเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average – MA) พร้อมทั้งเพิ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คืออะไร?

แนวรับ (Support):

  • เป็นระดับราคาที่มักจะทำให้ราคาหยุดลงไม่ต่ำไปกว่านี้เพราะมีแรงซื้อเพิ่มขึ้น ราคามักกลับตัวขึ้นเมื่อแตะระดับนี้หลายครั้ง

แนวต้าน (Resistance):

  • เป็นระดับราคาที่มักทำให้ราคาหยุดขึ้นไม่สูงไปกว่านี้เพราะมีแรงขายเพิ่มขึ้น ราคามักกลับตัวลงเมื่อแตะระดับนี้หลายครั้ง

นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านจากกราฟราคาในอดีต และเมื่อราคาผ่านแนวรับ แนวต้านไปแล้ว จะเกิดปรากฏการณ์ที่แนวรับเดิมกลายเป็นแนวต้าน และแนวต้านเดิมกลายเป็นแนวรับ

วิธีการหาแนวรับ-แนวต้าน

เส้นแนวนอน (Horizontal Line)

เส้นแนวนอนเป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุดสำหรับการหาจุดแนวรับและแนวต้าน นักลงทุนใช้ดูที่ระดับราคาที่เป็นจุดต่ำสุด (Low) และจุดสูงสุด (High) ของกราฟ โดยเฉพาะจุดที่ราคาเคยหยุดพักตัวหลายครั้ง เช่น จุด Low และ High ในกรอบเวลาที่สำคัญ เส้นแนวนอนนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะสามารถมองเห็นและตีความได้ง่าย

เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

เส้นแนวโน้มช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ทิศทางราคาในระยะยาวได้ โดยเส้นแนวโน้มที่ขาขึ้น (Uptrend) จะเกิดจากการเชื่อมต่อจุด Low ของราคาหลายจุด ส่วนเส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend) จะเกิดจากการเชื่อมต่อจุด High ของราคา การใช้เส้นแนวโน้มในการหาจุดแนวรับ-แนวต้านนั้นจำเป็นต้องมีประสบการณ์มากกว่าเส้นแนวนอน เนื่องจากต้องตีกรอบของราคาเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างจุดต่างๆ

เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average – MA)

เส้น MA เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลังในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เพื่อปรับราคาที่ผันผวนให้ราบเรียบ โดยเส้น MA สามารถใช้ในการหาจุดแนวรับ-แนวต้านได้ในช่วงระยะเวลาต่างๆ เส้น MA ที่มี Period ยาวจะให้แนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่งกว่าช่วงเวลาสั้น

Simple Moving Average (SMA):

การคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนดอย่างเท่ากัน เป็นเส้น MA พื้นฐานที่นักลงทุนใช้กันมากที่สุด

Exponential Moving Average (EMA):

การคำนวณค่าเฉลี่ยที่ให้น้ำหนักมากขึ้นกับข้อมูลล่าสุด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของราคาที่รวดเร็วกว่าการใช้ SMA

การใช้ Fibonacci และ Volume ในการหาแนวรับ-แนวต้าน

นอกเหนือจากการใช้เส้นแนวนอนและเส้นแนวโน้ม นักลงทุนยังสามารถใช้เครื่องมือเช่น Fibonacci Retracement เพื่อหาจุดแนวรับ-แนวต้านในทิศทางการเคลื่อนที่ของราคา Fibonacci ช่วยให้คาดการณ์จุดกลับตัวได้แม่นยำขึ้นเมื่อราคาเข้าสู่ระดับสำคัญ เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8% ของการเคลื่อนไหวของราคา

Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ยังช่วยในการยืนยันจุดแนวรับ-แนวต้านได้ โดยหากพบว่ามีปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงแนวรับหรือแนวต้าน จะเป็นสัญญาณว่าจุดนั้นเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ

แนวรับ-แนวต้านทางจิตวิทยา

ระดับราคาเช่น 1,000, 10,000, หรือ 50,000 เป็นระดับที่นักลงทุนมักมองว่าเป็นจุดที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยา เนื่องจากเป็นตัวเลขที่กลมและสวย ทำให้นักลงทุนหลายคนมองว่าราคาจะกลับตัวที่จุดนี้ สิ่งนี้เรียกว่าแนวรับ-แนวต้านทางจิตวิทยา

การประยุกต์ใช้งานในการซื้อขาย

เมื่อใช้งานแนวรับ-แนวต้าน นักลงทุนสามารถกำหนดจุดเข้าซื้อและขายทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น:

  • หากราคาตกลงมาถึงแนวรับที่แข็งแกร่งและเริ่มกลับตัว นักลงทุนอาจพิจารณาซื้อในจุดนั้น
  • หากราคาขึ้นไปแตะถึงแนวต้านและมีสัญญาณการกลับตัวลง นักลงทุนอาจพิจารณาขายทำกำไร

คำแนะนำเพิ่มเติมในการใช้งานแนวรับ-แนวต้าน

  • การยืนยันแนวรับ-แนวต้าน: ควรใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่น เส้น MA หรือกราฟแท่งเทียนเพื่อยืนยันการเคลื่อนที่ของราคา
  • การตั้งค่า Stop Loss: เมื่อทำการซื้อหรือขายที่แนวรับ-แนวต้าน ควรตั้งค่า Stop Loss ไว้เสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน

การใช้งานแนวรับ-แนวต้านในการวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจซื้อ-ขายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น